ปลงจนอ้วก แล้วไงต่อ

ปลงจนอ้วก แล้วไงต่อ

614
0
แบ่งปัน

****** “ปลงจนอ้วก แล้วไงต่อ” ******

หนูขอถามหน่อยเจ้าค่ะพระอาจารย์..

หนูนั่งสมาธิแล้วมันพิจารณากาย แต่ไม่ใช่ขณะที่จิตมันรวมนะค่ะ

แต่จิตมันจะวนอยู่ตามร่างกายตลอดค่ะ

หนูพูดไม่รู้เรื่อง เองเนาะค่ะ เพราะมันไม่รู้จะพูดยังไง อธิบายไม่ถูกค่ะ

มันก็เป็นแค่ความคิด แต่มันคิดนานจังค่ะ ลอกหนังตัวเองจนหมดแล้วสลดใจ จะอ้วก..

แล้วพอมาสวดมนต์ต่อ แล้วท่องถึง สัญญาอนิจจา ไป จนรูปังอนัตตาแล้วมันสลดสังเวชในใจ น้ำตาน้ำมูกไหลท่องก็จะไม่ได้ค่ะ

หนูบ่ได้เรื่องเลยแหม่นบ่ค่ะ

มันคืออะไรคะ กราบนมัสการเข้าค่ะ

รอฟังจนแก่แน่เลยคราวนี้งือๆ

>>>> ไม่มีอะไรมากหรอก จิตเรามันไหลไปตามอาการที่วินิจฉัยน่ะ

สำคัญไม่ใช่อยู่ตรงอาการที่เป็น

สำคัญตรง เอาอาการที่เป็นนั้น มาเป็นเครื่องย้อมใจเรายังไง ให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ที่เห็นที่รู้ มันเป็นธรรมดาของมัน

นี่..อยู่ตรงนี้ มรรคผลมันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่อยู่ที่เรามีอาการ

การมีอาการต่างๆ คนใดที่จิตใจอ่อน เมื่อเกิดภาวะปลงและพิจารณาลึกลงไป มันก็เกิดอาการ การเข้าไปเป็นเจ้าของอาการ

อ้วกบ้าง รังเกียจกายบ้าง ขยะแขยงตัวเองบ้าง อาการพวกนี้นี่ มันเป็นธรรมดา ไม่ใช่พ้นไปเสียจากคนที่เขาไม่เป็นไม่เกิด

บางคนพิจารณา จนถึงจุดนี้ เห็นชัดแบบนี้ เลิก..ไม่เอาแล้ว รูปชายหญิงทั้งหลาย

เพราะเห็นชัดถึงความสกปรก เห็นชัดถึงความไม่น่าอภิรมณ์ เห็นชัดถึงความน่าเกลียดน่ากลัว ไร้สาระและหาค่าไม่ได้ ยึดไว้ไม่ได้

จึงเกิดการผลักใส ไม่เอา หนีห่าง รังเกียจสิ่งเหล่านี้

นี่..อัตตาและตัวตนทั้งแท่ง ไม่ใช่มีปัญญาวางจิตตามวิถีพุทธ

การพิจารณามาถึงจุดเช่นนี้ เห็นเช่นนี้ ก็เพื่อให้เกิดปัญญาเข้าใจ ว่า สรรพสิ่งทั้งหลาย มันเป็นธรรมดาของมันแบบนี้

ไม่ใช่พิจารณา เพื่อให้พ้นจากสิ่งเหล่านี้ หรือรังเกียจสิ่งเหล่านี้

พิจารณาเพื่อให้เข้าใจ เพื่อให้ใจมันแจ้ง เห็นความเป็นธรรมดาของมัน

เจ้าของผู้พิจารณาเห็น จะได้วางใจและตั้งมั่นอยู่ในพื้นที่ ที่ไม่หลงลงไปในกระแสมายาของมันได้ เมื่อยามเจ้าของผัสสะ

นี่..พุทธศาสนาชี้ การมีปัญญาเท่าทันอาการแห่งจิต ที่มันหลงไปในกระแส ยามมีตัณหาผุดขึ้นมาจากใจไม่รู้จบ

เจ้าของเมื่อพิจารณามองเห็นแจ้ง

จะได้มีปัญญาแจ้งชัดว่า

สิ่งเหล่านี้ มันไม่มีสาระอะไรใดๆ ที่จะไปยึดมั่นถือมั่นใดๆได้เลย

สรรพสิ่งล้วนไม่จีรัง และเป็นแก่นสารควรน่าใคร่น่าทนุถนอม

ไม่ใช่เมื่อพิจารณาเห็นแล้ว เกิดความรังเกียจ และเกิดความเบื่อหน่ายตามที่ตนเห็น และตนเป็นเจ้าของ

เราปลงอสุภะ เราปลงเพื่อให้มันเห็นตามความเป็นจริง ว่ามันเป็นของมันเช่นนี้

มันมีความน่าขยะแขยง แต่ไม่ใช่ไปเป็นเจ้าของน่าขยะแขยง

เราปลงเพื่อให้เข้าใจและเห็นจริง ไม่ใช่เพื่อไม่ให้ใจเราจะได้ไม่เกิดอารมณ์ ตัณหา ความกำหนัดยินดี

เราปลง เพื่อให้เห็นว่า มันเป็นของมันอย่างนี้

เราจะได้มีที่ยืนสำหรับใจเรา ที่จะยืนอยู่บนโลกนี้ได้ ด้วยความเข้าใจว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย มันเป็นของมันเช่นนี้เป็นธรรมดา

เราให้ค่า และเป็นเจ้าของมันแม้การปฏิบัติที่เรารู้และเราเห็น ว่ามันเป็นเราที่มันเป็น

เมื่อมีเราที่มันเป็น มันก็จะมีเราเป็นทุกอย่าง ที่มันมี

นี่..เอาอัตตามาปิดบังมรรคผลที่มันมี ทำให้ใจดวงนี้ งมงายและหลงใรธรรมทั้งหลาย ที่คิดว่า กูนั้นเป็น…!!

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง